วันพฤหัสบดีที่ 11 มกราคม พ.ศ. 2561

ซอฟต์แวร์ประยุกต์


ซอฟต์แวร์ประยุกต์

ซอฟต์แวร์ประยุกต์ (application software) เป็นซอฟต์แวร์ที่ใช้กับงานด้านต่าง ๆ ตามความต้องการของผู้ใช้ที่สามารถนำมาใช้ประโยชน์ได้โดยตรง โดยแบ่งซอฟต์แวร์ประยุกต์ออกเป็น 2 กลุ่ม คือ 
      1. ซอฟต์แวร์ประยุกต์ที่ใช้กับงานทั่วไป หรือซอฟต์แวร์สำเร็จ (Package) 

       2. ซอฟต์แวร์ประยุกต์เฉพาะงาน

1. ซอฟต์แวร์ประยุกต์ที่ใช้กับงานทั่วไป หรือซอฟต์แวร์สำเร็จ (Package)  เป็นซอฟต์แวร์ที่บริษัทพัฒนาขึ้น และจัดจำหน่ายเพื่อให้ผู้ใช้สามารถใช้งานได้ทันที โดยไม่ต้องเสียเวลาในการพัฒนาซอฟต์แวร์ขึ้นใช้เอง ซอฟต์แวร์สำเร็จที่มีจำหน่ายในท้องตลาดทั่วไป ได้แก่

                      1) ซอฟต์แวร์ประมวลคำ (word processing software) เป็นซอฟต์แวร์ที่ใช้สำหรับการพิมพ์เอกสาร เช่น รายงาน จดหมายเวียน หนังสือ สื่อสิ่งพิมพ์ต่าง ๆ สามารถแก้ไขเพิ่ม แทรก ลบ และจัดรูปแบบเอกสารได้อย่างดี เอกสารที่พิมพ์และจัดเก็บไฟล์ สามารถ แก้ไขและพิมพ์ออกทางเครื่องพิมพ์ได้ ซอฟต์แวร์ประมวลคำที่นิยมใช้ในปัจจุบัน เช่น Microsoft Word เป็นต้น


                

                     2) ซอฟต์แวร์ตารางทำงาน (spread sheet software) เป็นซอฟต์แวร์ที่ช่วยในการคิดคำนวณ วิเคราะห์ตัวเลขเพื่อใช้งานในด้านการเงิน บัญชี สถิติ คณิตศาสตร์ หรือวิทยาศาสตร์ ซอฟต์แวร์ตารางทำงานประกอบด้วยตารางขนาดใหญ่สำหรับใส่ตัวเลข ข้อความ สูตรการคำนวณ ซึ่งมีเครื่องคำนวณเตรียมไว้สำเร็จ สามารถสั่งให้คำนวณตามสูตรหรือเงื่อนไขที่กำหนด ผู้ใช้สามารถประยุกต์ใช้งานประมวลผลตัวเลขอื่น ๆ ได้กว้างขวาง ซอฟต์แวร์ตารางทำงานที่นิยมใช้ เช่น Microsoft Excel, OpenOffice Calcในโปรแกรมชุด Pladao Office เป็นต้น
                     3) ซอฟต์แวร์จัดการฐานข้อมูล (Database Management Software) เป็นซอฟต์แวร์ที่ช่วยในการเก็บข้อมูล ผู้ใช้สามารถใช้ ปรับปรุง และค้นคืน ข้อมูลได้ง่าย ทั้งยังสามารถ สร้างรายงานหรือสรุปผลข้อมูลได้หลายรูปแบบ ซอฟต์แวร์นี้จะมีการจัดเก็บทั้งค่าข้อมูล พร้อมโครงสร้างข้อมูล เพื่อช่วยลดความซ้ำซ้อน และความขัดแย้งของข้อมูลตลอดจนช่วยให้ผู้ใช้งานได้รับความสะดวกและใช้ข้อมูลร่วมกันได้ ซอฟต์แวร์จัดการฐานข้อมูล เช่น OpenOfflin.org Base, Microsoft Access, MySQL, Oracle เป็นต้น

                      4) ซอฟต์แวร์นำเสนอ (presentation software) เป็นซอฟต์แวร์ที่ช่วยในการนำเสนอ ช่วยให้การนำเสนอทำได้ง่าย สะดวกรวดเร็ว และมีความน่าสนใจมากยิ่งขึ้น ซอฟต์แวร์นำเสนอสามารถสร้างสไลด์ที่ประกอบด้วย ตัวอักษร รูปภาพ กราฟ แผนภูมิ ตารางภาพเคลื่อนไหว และเสียง สามารถตกแต่งและนำเสนอสไลด์ด้วยรูปแบบต่างๆ เช่น การใส่และตกแต่งพื้นหลังของสไลด์ ตกแต่งตัวอักษรและเลือกรูปแบบการแสดงตัวอักษรและสไลด์  ซอฟต์แวร์นำเสนอที่นิยมใช้ เช่น OpenOfflice Impress, Microsoft PowerPoint ,  Pladao  Office  เป็นต้น

                      5) ซอฟต์แวร์การใช้งานบนเว็บไซต์และการติดต่อสื่อสาร (web site and Communication Software) จากการเติบโตของเครือข่ายอินเทอร์เน็ตทำให้มีผู้พัฒนาโปรแกรมเพื่อใช้งานเฉพาะอย่างเพิ่มมากขึ้น มีทั้งการตรวจเช็คอีเมล  เข้าเว็บไซต์  การจัดการและดูแลเว็บไซต์  ส่งข้อความติดต่อสื่อสาร  รวมไปถึงการประชุมทางไกลผ่านเครือข่าย  ตัวอย่างซอฟต์แวร์การใช้งานเว็บไซต์และการติดต่อสื่อสาร  เช่น Windows Live Messenger , Microsoft Outlook , Microsoft Netmeeting,  Skype,  Line  ใช้ในการสนทนาผ่านเครือข่าย Mozilla Firefox, Google chrome ใช้ในการเข้าถึงข้อมูล, Thunderbird ใช้ในการรับส่งอีเมล์, FileZilla ใช้ในการโอนย้ายไฟล์ข้อมูล

                      6) ซอฟต์แวร์ด้านกราฟิกและมัลติมีเดีย (Graphics and Multimedia Software) เป็นกลุ่มซอฟต์แวร์ประยุกต์ที่ถูกพัฒนาขึ้นสำหรับจัดการงานทางด้านกราฟิกและมัลติมีเดีย มีความสามารถเสมือนเป็นผู้ช่วยในการออกแบบชิ้นงานเกี่ยวกับการตกแต่งภาพ  วาดภาพ  ปรับเสียง ตัดต่อภาพเคลื่อนไหว รวมถึงการสร้างและออกแบบพัฒนาเว็บไซต์ ซอฟต์แวร์ ซอฟต์แวร์ทางด้านกราฟิกและมัลติมีเดีย เช่น GIMP, Paint, Adobe Photoshop, Adobe InDesign, Adobe illustrator, Corel Draw, LiveSwif, Adobe Flash, 3D MAX, Windows Movie Maker, Macromedia Dreamweaver เป็นต้น




โปรแกรม Adobe Photoshop


 โปรแกรม 3D MAX


โปรแกรม Adobe Flash

        
            2. ซอฟต์แวร์ประยุกต์เฉพาะงาน   (Application Software for Specific purpose) เป็นซอฟต์แวร์ที่พัฒนาขึ้น เพื่อนำไปประยุกต์ใช้กับงานขององค์กรใดองค์กรหนึ่งโดยเฉพาะ ออกแบบและสร้างขึ้นโดยผู้ผลิตซอฟต์แวร์ที่มีความชำนาญงานในด้านนั้น หรือพัฒนาโดยบุคลากรฝ่ายคอมพิวเตอร์ขององค์กรนี้ก็ได้ โดยผ่านการวิเคราะห์ ออกแบบ ลงมือสร้าง และทดสอบโปรแกรมให้สามารถทำงานได้ถูกต้องก่อน จึงจะสามารถนำมาใช้งานได้ เช่น โปรแกรมคำนวณภาษีของกรมศุลกากร  โปรแกรมบันทึกเวลาการปฏิบัติงานของพนักงาน  โปรแกรมเงินเดือน  โปรแกรมฝากถอนเงินของธนาคาร ซึ่งต้องมีการออกแบบโครงสร้างของซอฟต์แวร์เพื่อให้ใช้งานได้ตามความต้องการ
 
               1) ซอฟต์แวร์สำหรับงานธุรกิจ (business software) การประยุุกต์ใช้งานด้วยซอฟต์แวร์สำหรับงานธุรกิจมักจะเน้นการใช้งานทั่วไป แต่อาจจะนำมาประยุกต์ใช้โดยตรงกับงานทางธุรกิจบางอย่างได้ เช่น กิจการธนาคาร  มีการฝาก-ถอนเงิน งานทางด้านบัญชี  หรือในห้างสรรพสินค้ามีงานการขายสินค้า การออกใบเสร็จรับเงิน  การควบคุมสินค้าคงคลัง ดังนั้นจึงต้องมีการพัฒนาซอฟต์แวร์ใช้งานเฉพาะ  สำหรับงานแต่ละประเภทให้ตรงกับความต้องการของผู้ใช้แต่ละราย ซอฟต์แวร์สำหรับงานธุรกิจมักจะเป็นซอฟต์แวร์ที่ผู้พัฒนาต้องเข้าไปศึกษารูปแบบการทำงานหรือความต้องการของธุรกิจนั้น แล้วจึงจัดทำขึ้น โดยทั่วไปจะเป็นซอฟต์แวร์ที่มีหลายส่วนทำงานร่วมกัน ซอฟต์แวร์ที่ใช้งานเฉพาะที่ใช้กันในธุรกิจ เช่น ระบบงานทางด้านบัญชี  ระบบงานจัดจำหน่าย  ระบบงานสินค้าคงคลัง  ระบบงานบริหารการเงิน  เป็นต้น


ตัวอย่างโปรแกรมบริหารสินค้าคงคลัง


 ตัวอย่างโปรแกรมเงินเดือน


               2)  ซอฟต์แวร์อื่นๆ ซอฟต์แวร์ประยุกต์เฉพาะงานนอกจากจะเป็นซอฟต์แวร์สำหรับงานธุรกิจแล้ว ยังมีซอฟต์แวร์อื่นๆ อีกเช่น โปรแกรมช่วยค้นหาคำศัพท์  โปรแกรมเพื่อความบันเทิง  เป็นต้น

                     นอกจากนี้ยังมีซอฟต์แวร์เฉพาะงานด้านการศึกษาที่ช่วยเสริมการเรียนรู้ในสาขาต่างๆ เช่น Thai Geometer’s Sketchpad (ThaiGSP), Mathlab, Scilab




Thai Geometer’s Sketchpad (ThaiGSP)

                     ซอฟต์แวร์ประยุกต์เฉพาะงานอีกประเภทหนึ่ง คือ ซอฟต์แวร์เกม ซึ่งเป็นที่นิยมกันทั่วโลกทั้งในกลุ่มของเด็กและผู้ใหญ่ รูปแบบของซอฟต์แวร์เกมมีอยู่หลากหลาย บางชนิดก็มีทั้งความเหมาะสมและไม่เหมาะสมที่แตกต่างกัน ดังนั้นผู้ปกครองจึงควรมีส่วนร่วมในการการเลือกใช้ซอฟต์แวร์เกมให้เหมาะสมกับวัย




เกม ROV / เกม SIMCITY BUILDIT

               

    การเลือกใช้ซอฟต์แวร์
                   ซอฟต์แวร์มีหลายประเภทด้วยกัน ดังนั้นการเลือกใช้ซอฟต์แวร์จึงต้องพิจารณาให้เหมาะสม
ข้อควรพิจารณาในการเลือกใช้ซอฟต์แวร์ เช่น
                  1. การเลือกใช้ซอฟต์แวร์ให้เหมาะสมกับงาน ต้องพิจารณาถึงวัตถุประสงค์ในการนำซอฟต์แวร์ไปใช้งาน เพื่อตรงกับความต้องการของผู้ใช้มากที่สุด

                  2. การเลือกใช้ซอฟต์แวร์ให้เหมาะสมกับทรัพยากร ควรพิจารณาคุณลักษณะขั้นต่ำของคอมพิวเตอร์ที่จำเป็นต้องมี เช่น ความเร็วของซีพียู ความจุของแรม ความละเอียดของการ์ดแสดงผล เพื่อให้สามารถประมวลผลซอฟต์แวร์นั้นได้

                  3. การเลือกใช้ซอฟต์แวร์ให้เหมาะสมกับงบประมาณ หากมีงบประมาณไม่เพียงพอ อาจเลือกใช้ซอฟต์แวร์ที่ราคาต่ำกว่าหรือไม่เสียค่าใช้จ่าย แต่มีประสิทธิภาพใกล้เคียงกัน

                  4. การเลือกใช้ซอฟต์แวร์โดยไม่ละเมิดลิขสิทธิ์ เพื่อเป็นการสนับสนุนให้มีผู้ผลิตซอฟต์แวร์ต่าง ๆ อย่างต่อเนื่อง ถ้าต้องใช้ซอฟต์แวร์ที่มีลิขสิทธิ์ต้องจัดซื้อให้ถูกต้องตามกฎหมาย

                  ซอฟต์แวร์แต่ละประเภทจะมีการปรับปรุงรุ่นของซอฟต์แวร์ให้เป็นปัจจุบันเสมอ โดยมีการปรับปรุงในหลาย ๆ ด้าน เช่น การเพิ่มฟังก์ชันหรือความสามารถใหม่ การปรับปรุงส่วนติดต่อกับผู้ใช้ การแก้ปัญหาข้อผิดพลาดที่มีในรุ่นก่อนหน้า ดังนั้นผู้ใช้จึงควรพิจารณาว่าสมควรจะปรับปรุงรุ่นของซอฟต์แวร์หรือไม่

โดยพิจารณาจากความสามารถของเครื่องคอมพิวเตอร์และความต้องการนำไปใช้งานเพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุด


การเลือกใช้ซอฟต์แวร์
การเลือกใช้ซอฟต์แวร์

ซอฟต์แวร์ระบบ


ซอฟต์แวร์ระบบ 
(system software)        

      ซอฟต์แวร์ระบบ (system software) คือ ซอฟต์แวร์ที่ทำหน้าที่ควบคุมการทำงานของฮาร์ดแวร์ และประสานงานระหว่างซอฟต์แวร์ ฮาร์ดแวร์ และผู้ใช้งาน

ซอฟต์แวร์ระบบสามารถแบ่งออกเป็น 4 ประเภท ได้แก่

     1. ระบบปฏิบัติการ (Operating System: OS)

     2. โปรแกรมแปลภาษาคอมพิวเตอร์ (translator)

     3. โปรแกรมอรรถประโยชน์ (utility program)

     4. โปรแกรมขับอุปกรณ์ (device driver)


     1. ระบบปฏิบัติการ (Operating System: OS)

            ระบบปฏิบัติการหรือโอเอส (operating system: os) ทำหน้าที่ จัดสรรและควบคุมการทำงานของฮาร์ดแวร์ เช่น การรับข้อมูลจากคีย์บอร์ด การจัดสรรพื้นที่ในหน่วยความจำ การควบคุมการทำงานของซีพียู การควบคุมการอ่าน และบันทึกข้อมูลของหน่วยเก็บข้อมูล การควบคุมการแสดงส่วนติดต่อกับผู้ใช้ เพื่อให้ผู้ใช้สามารถติดต่อกับส่วนต่างๆ ของคอมพิวเตอร์ผ่านโปรแกรมประยุกต์ได้ 

ส่วนติดต่อกับผู้ใช้ (user interface) คือ ส่วนที่ผู้ใช้สามารถมองเห็น และสามารถกระทำการต่างๆ เป็นส่วนที่ปรากฎอยู่บนพื้นที่การทำงาน หรือเดสก์ทอป (desktop) ของคอมพิวเตอร์ ผู้ใช้สามารถติดต่อกับซอฟต์แวร์ หรือฮาร์ดแวร์เพื่อทำงานต่างๆ

           ส่วนติดต่อกับผู้ใช้ มี 2 ลักษณะ คือ

           1. ส่วนติดต่อกับผู้ใช้แบบบรรทัดคำสั่ง (command-line user interface) เป็นส่วนติดต่อกับผู้ใช้ ที่ต้องป้อนข้อความคำสั่งทีละ 1 ข้อความ และต้องพิมพ์คำสั่งให้ถูกต้องตามรูปแบบ ทำให้ ไม่สะดวกในการทำงาน



            2. ส่วนติดต่อกับผู้ใช้แบบกราฟิก (Graphical User Interface: GUI) เป็นส่วนติดต่อกับผู้ใช้ที่มีองค์ประกอบทางกราฟิกต่างๆ เช่น


               ไอคอน หรือสัญรูป (icon) เป็นรูปภาพที่ใช้แทนคำสั่ง โปรแกรมและองค์ประกอบต่างๆ ของคอมพิวเตอร์ เช่น โปรแกรมประยุกต์ โปรแกรมอรรถประโยชน์ ไฟล์ หรือการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ต
หน้าต่าง (window)เพื่อแสดงขอบเขตการทำงานของโปรแกรมบนเดสก์ทอป โดย ทั่วไปมี 1 หน้าต่างต่อ 1โปรแกรม ภายในหน้าต่าง อาจประกอบด้วยแถบเมนูคำสั่ง ปุ่มคำสั่ง กล่องข้อความ เป็นต้น


                เนื่องจากระบบปฏิบัติการจะต้องมีการติดต่อกับอุปกรณ์ต่างๆ ภายในเครื่องคอมพิวเตอร์ ดังนั้น ระบบปฏิบัติการแต่ละระบบ จึงได้รับการออกแบบให้ทำงานได้กับเครื่องคอมพิวเตอร์แต่ละแบบ เช่น พีซี (Personal Computer: PC) เครื่องช่วยงานส่วนบุคคลแบบดิจิทัล หรือพีดีเอ (Personal Digital Assitant : PDA) โทรศัพท์เคลื่อนที่ (mobile phone) ระบบปฏิบัติการที่ใช้กับเครื่องคอมพิวเตอร์ในปัจจุบันมีมากมาย เช่น
              1) ดอส (DOS : Disk Operating System) พัฒนาในปี พ.ศ.2524โดยบิล เกตส์ (Bill Gates) และ พอล อเลน (Paul Allen) มีส่วนติดต่อกับผู้ใช้เป็นแบบบรรทัดคำสั่งโดยผู้ใช้ต้องป้อนข้อความคำสั่งทีละ 1 ข้อความ และต้องจดจำรูปแบบของคำสั่งให้ถูกต้อง จึงจะสามารถทำงานได้ตามต้องการ

              2) วินโดวส์ (Windows) เป็นระบบปฏิบัติการที่พัฒนามาจากดอส ซึ่งผู้ใช้สามารถสั่งงานด้วยเมาส์ร่วมกับการใช้แผงแป้นอักขระทำงานหลายงานพร้อมกันได้ และใช้งานได้ง่ายโดยเน้นรูปแบบการใช้ปุ่มคำสั่งแบบกราฟิกในการติดต่อกับผู้ใช้งานด้วยเหตุนี้ระบบปฏิบัติการวินโดวส์จึงได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก และมีการพัฒนาความสามารถในการทำงานเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ โดยผลิตซอฟต์แวร์ใหม่ๆออกมาใช้งาน เช่น Windows XP, Windows Vista, Windows 7

              3) แมค (Mac Operating System: Mac OS)เป็นระบบปฏิบัติการของบริษัท Apple มีพื้นฐานมาจากระบบปฏิบัติการยูนิกซ์ และเป็นผู้บุกเบิกส่วนติดต่อผู้ใช้แบบกราฟิก ระบบปฏิบัติการแมคมีการพัฒนาหลายรุ่น เช่น แมคโอเอสรุ่นที่ 9 (Mac OS 9)แมคโอเอสรุ่นที่ 10 (Mac OS X)

              4) ยูนิกซ์ (Unix)เป็นระบบปฎิบัติการที่พัฒนามาเพื่อตอบสนองการใช้งานในลักษณะให้มีผู้ใช้ได้หลายคนในเวลาเดียวกัน (multiuser) และสามารถทำงานหลายๆ งานได้ในเวลาเดียวกันอีกด้วย ระบบปฎิบัติการยูนิกซ์ เช่น โซรารีส (Solaris) เอไอเอกซ์ (AIX)

              5) ลีนุกซ์ (Linux) เป็นระบบปฏิบัติการที่พัฒนามาจากระบบปฏิบัติการยูนิกซ์ได้รับความนิยมเพราะมีซอฟต์แวร์ประยุกต์ต่าง ๆ ที่ทำงานบนระบบลีนุกซ์จำนวนมาก โดยเฉพาะซอฟต์แวร์ในกลุ่มของกะนู (GNU : GNU’s Not Unix) ซึ่งเป็นซอฟต์แวร์เสรีที่ทุกคนสามารถนำไปใช้แก้ไข ปรับปรุง หรือจำหน่ายฟรีโดยไม่ต้องเสียค่าลิขสิทธิ์ ระบบปฏิบัติการลินุกซ์ เช่น เรดแฮท (red hat) อูบันทู (UBUNTU) ลินุกซ์ทะเล (LinuxTLE)

              6) ระบบปฏิบัติการอื่น ๆ ในปัจจุบันพีดีเอ สมาร์ทโฟน จีพีเอสแท็บเล็ต หรืออุปกรณ์พกพาอื่น ๆ เป็นอุปกรณ์ที่ได้รับความนิยมมากยิ่งขึ้น อุปกรณ์พกพาเหล่านี้มีทรัพยากรที่จำกัด เช่น หน่วยความจำ แหล่งพลังงานและอาจให้ความสำคัญกับการพัฒนาอุปกรณ์รับข้อมูล เช่น แทร็คบอล (trackball) หรือจอสัมผัส (touch screen) ที่เพิ่มความสะดวกในการใช้งานมากขึ้น จึงจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องมีระบบปฏิบัติการเฉพาะ เพื่อบริหารจัดการทรัพยากรอย่างมีประสิทธิภาพ ระบบปฏิบัติการในกลุ่มอุปกรณ์ประเภทนี้ เรียกว่า ระบบปฏิบัติการแบบฝังตัว (embeddedoperating system) เช่น ซิมเบียน (symbian) วินโดวส์โมบาย (Windows mobile) แบลคเบอร์รี (Blackberry ) แอนดรอยด์ (Android) ไอโอเอส (ios)


     2.โปรแกรมแปลภาษาคอมพิวเตอร์

        การที่มนุษย์จะติดต่อสื่อสารกับคอมพิวเตอร์ เพื่อให้คอมพิวเตอร์ทำงานตามที่ต้องการได้นั้น จำเป็นต้องมีตัวกลางในการสื่อสาร เรียกว่า ภาษาคอมพิวเตอร์ แบ่งได้เป็น 3ประเภท คือ

         1) ภาษาเครื่อง คือ ภาษาที่คอมพิวเตอร์รู้จักและปฏิบัติงานได้ทันที คือ คำสั่งในภาษาเครื่องจะเป็นชุดคำสั่งที่ประกอบด้วยตัวเลขฐานสอง (binary digits หรือ bits) ที่ใช้เลข 0 และ 1 เป็นสัญลักษณ์แทนสัญญาณไฟฟ้าปิดและเปิดตามลำดับ

         2) ภาษาระดับต่ำ เป็นภาษาที่ใช้ตัวอักษรภาษาอังกฤษเป็นรหัสแทนการทำงานและใช้การตั้งชื่อตัวแปรแทนตำแหน่งที่ใช้เก็บจำนวนต่าง ๆ ซึ่งก็คือภาษาแอสเซมบลี

         3) ภาษาระดับสูง เนื่องจากภาษาระดับต่ำมีความใกล้เคียงกับภาษาเครื่องมาก ดังนั้นจึงมีผู้พัฒนาภาษาระดับสูง เพื่อช่วยอำนวยความสะดวกในการเขียนโปรแกรม ซึ่งลักษณะคำสั่งของภาษาระดับสูงจะประกอบด้วยคำต่างๆ ในภาษาอังกฤษ ที่ใกล้เคียงกับภาษามนุษย์ ผู้อ่านสามารถเข้าใจความหมายได้

         ภาษาระดับสูงและต่ำเป็นภาษาที่คอมพิวเตอร์ไม่สามารถเข้าใจได้ทันที จึงจำเป็นต้องมีโปรแกรมแปลภาษาให้เป็นภาษาที่เครื่องคอมพิวเตอร์เข้าใจได้ ซึ่ง
โปรแกรมแปลภาษา แบ่งออกเป็น 3ประเภท ดังนี้

         1. แอสเซมเบลอร์ (assembler) เป็นโปรแกรมที่ใช้แปลภาษาแอสแซมบลี ซึ่งเป็นภาษาระดับต่ำให้เป็นภาษาเครื่อง

         2. อินเทอร์พรีเตอร์ (Interpreter) เป็นโปรแกรมแปลภาษาระดับสูง โดยแปลทีละคำสั่ง แล้วให้คอมพิวตอร์ทำตามคำสั่งนั้น เมื่อทำเสร็จแล้วจึงทำการแปลคำสั่งลำดับต่อไป อินเทอร์พรีเตอร์ที่รู้จักกันดี เช่น ตัวแปลภาษาโลโกตัวแปลภาษาเบสิกตัวแปลภาษาโคบอล

         3. คอมไพเลอร์ (compiler) เป็นโปรแกรมแปลภาษาระดับสูง โดยแปลทั้งโปรแกรมให้เป็นภาษาเครื่อง แล้วจึงให้คอมพิวเตอร์ทำงานตามภาษาเครื่องนั้น คอมไพเลอร์ที่รู้จักกันดี เช่น ตัวแปลภาษาซี ตัวแปลภาษาปาสคาล

****ภาษาคอมพิวเตอร์บางภาษามีตัวแปรภาษาทั้งประเภทคอมไพเลอร์และอินเทอร์พรีเตอร์
เช่น เบสิก จาวา ****


   3. โปรแกรมอรรถประโยชน์

โปรแกรมอรรถประโยชน์เป็นโปรแกรมที่ช่วยอำนวยความสะดวกในการใช้งาน หรือการจัดการคอมพิวเตอร์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ เช่น การจัดการไฟล์ การบีบอัดไฟล์ การสำรองไฟล์ การจัดเรียงพื้นที่ดิสก์ การลบไฟล์ที่ไม่จำเป็น การป้องกันไวรัส

             1) โปรแกรมจัดการไฟล์ (File manager) ใช้จัดการไฟล์และโฟลเดอร์ต่าง ๆ ตามที่ผู้ใช้ต้องการเช่น ค้นหา คัดลอก เคลื่อนย้าย ลบ เปลี่ยนชื่อ ซึ่งการจัดการเหล่านี้สามารถทำได้อย่างสะดวกและรวดเร็ว เช่น Windows Explorer, FreeCommander

              2) โปรแกรมบีบอัดไฟล์ (File Compression Utility) ช่วยลดขนาดของไฟล์หรือกลุ่มของไฟล์ เพื่อประหยัดพื้นที่จัดเก็บ และสะดวกในการโอนย้ายไฟล์ ตัวอย่างโปรแกรมบีบอัดไฟล์เช่น Winzip, Winrar, 7-Zip เป็นต้น

             3)โปรแกรมสำรองไฟล์ (backup)ช่วยในการสำเนาไฟล์จากฮาร์ดดิสก์ไปเก็บไว้ในหน่วยเก็บข้อมูลอื่น ในกรณีที่ฮาร์ดดิสก์หรือข้อมูลเกิดความเสียหาย ผู้ใช้สามารถกู้คืนข้อมูลจากหน่วยเก็บข้อมูลที่เป็นสำเนานั้นได้ และข้อมูลที่สำรองไว้นั้นควรเก็บรักษาไว้ในที่ที่ปลอดภัย โปรแกรมสำรองไฟล์ เช่น Backup

           4) โปรแกรมจัดเรียงพื้นที่ดิสก์ (Disk Defragmenter) ช่วยจัดเรียงพื้นที่ว่างที่กระจายอยู่ในฮาร์ดดิสก์ ซึ่งเกิดจาการสร้างและลบไฟล์ที่มีอยู่เป็นจำนวนมาก ทั้งนี้เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการเข้าถึงไฟล์ ซึ่งเดิมส่วนของไฟล์ดังกล่าวอาจเคยกระจัดกระจายอยู่ตามตำแหน่งต่างๆ ในฮาร์ดดิสก์ เนื่องจากฮาร์ดดิสก์ไม่มีพื้นที่ว่างที่ขนาดใหญ่พอจะเก็บไฟล์นั้นในพื้นที่ต่อเนื่องกันได้ ส่งผลให้ต้องใช้เวลานานในการเข้าถึงทุกส่วนในไฟล์อย่างครบถ้วน โปรแกรมจัดเรียงพื้นที่ดิสก์จะจัดเรียงส่วนของไฟล์เดียวกันให้อยู่ในพื้นที่ที่ต่อเนื่องกันให้มากที่สุด ในขณะเดียวกันก็จัดเรียงพื้นที่ว่างที่อยู่ระหว่างส่วนของไฟล์ต่างๆ ให้มาอยู่ในพื้นที่ต่อเนื่องกันด้วย โปรแกรมจัดเรียงพื้นที่ดิสก์ เช่น Disk Defragmenter, Ultra defrag
5)โปรแกรมลบไฟล์ที่ไม่จำเป็น (Disk Cleanup) เป็นโปรแกรมที่ช่วยลบไฟล์หรือข้อมูลที่ไม่จำเป็นออกจากฮาร์ดดิสก์ เช่น ข้อมูลที่เกิดขึ้นขณะค้นหาทางอินเทอร์เน็ต หรือข้อมูลที่ลบทิ้งแล้วแต่ยังเก็บในถังขยะ โปรแกรมลบไฟล์ที่ไม่จำเป็น เช่น Disk Cleanup


     4. โปรแกรมขับอุปกรณ์


          โปรแกรมขับอุปกรณ์หรือดีไวซ์ไดรเวอร์ (Device Driver) เป็นโปรแกรมที่ช่วยในการติดตั้งระบบเพื่อให้คอมพิวเตอร์สามารถติดต่อหรือใช้งานอุปกรณ์ต่างๆ ได้ ตัวอย่างโปรแกรมขับอุปกรณ์ เช่น Printer driver, Scanner driver, Sound driver









ใบงานที่2.1 ความหมายและประเภทของซอฟต์แวร์

ใบงานที่ 2.1 ความหมายและประเภทของซอฟต์แวร์

คำชี้แจง ให้นักเรียนศึกษาความรู้จากเอกสารประกอบการเรียนหรือบทเรียนออนไลน์ เรื่อง
ซอฟต์แวร์และการเลือกใช้ แล้วตอบคำถามต่อไปนี้

1.  ซอฟต์แวร์ (Software) หมายถึง..........................................................................................................
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………

2.  ซอฟต์แวร์  (Software) มีความสำคัญอย่างไร
…………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………

3.  ซอฟต์แวร์ (Software) จำแนกออกเป็นกี่ประเภท ได้แก่อะไรบ้าง
…………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………

4.  ซอฟต์แวร์ระบบ (system software) หมายถึง ......................................................................................
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
แบ่งเป็น.........ประเภท ได้แก่……………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………

5.  ซอฟต์แวร์ประยุกต์ (application software) หมายถึง ..........................................................................
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
แบ่งเป็น.........ประเภท ได้แก่……………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………